บทความโดย: ภาสันต์-สุระพันธ์ ภาสุระพันธ์
สมัยก่อนนั้นถ้าเรามีสายตาจะถือว่าเสียเปรียบในทุกๆด้าน ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์เรา คนโบราณกล่าวไว้ว่าประสาทการมองเห็นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะแว่นตานั้นยังไม่มีการผลิตขึ้นมาไม่ว่าจะมองไปทางไหน บุคคลนั้นไม่ต่างกับคนตาบอด ถ้าสายตาสั้นประมาณ -1.00 หรือ ยาวประมาณ +1.00 ยังพอไหว แต่ถ้ามากกว่านั้น มองอะไรก็ไม่ชัด
ก่อนปี 1200
แต่มนุษย์เรานั้นถนัดเรื่องการแก้ไข้เฉพาะหน้า ต้องเริ่มต้นจากแว่นกันแดดก่อนที่ชาวเอสกีโมประดิษฐ์มีรูปร่างเป็นเส้น ใส่ไว้เพื่อป้องกันแสงสะท้อนจากหิมะ
จากจุดเริ่มต้นนี้ มนุษย์เราได้มีการพัฒนาต่อยอดขึ้นมาเรื่อย
สมัยยุคโรมันจักรพรรดินีโร ใช้เพชรที่ขัดแล้วช่วยในการมองเกมการแข่งขันมองเหล่ากลาดิเอเตอร์สู้รบกัน
สมัยก่อนคนที่มองอะไรใกล้ๆไม่เห็นจะใช้แก้วใสใส่น้ำเพื่อดูตัวหนังสือตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่พวกเราอาจจะเคยเล่นสมัยเรียน
เมื่อน้ำแก้วใสมาใส่น้ำจนเต็มจะทำให้เกิดสภาวะเป็นเลนส์นูนที่มีค่ากำลังสายตาเอียง ภาพที่มองผ่านแก้วนั้นจะเล็กหรือใหญ่ลงได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ
ต้นกำเนิดของแว่นนั้นมีมานานมากแล้วครับอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ที่มีการบันทึกจริงๆเลยก็น่าจะช่วง 1 พันปีที่แล้ว ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1000 ถึง 1250 ผู้คิดค้นหลายๆคนได้สังเกตว่าเลนส์นูนมีความสามารถในการขยายภาพทำให้สามารถมองวัตถุได้ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นแว่นรุ่นแรกๆ อาจจะกล่าวได้ว่าคือแว่นขยายนั้นเอง
1286 - ประวัติแว่นตาที่ได้มีการบันทึกเริ่มต้นที่นี่
แว่นสายตานั้นมีการค้นพบในเมืองปีซ่าที่ประเทศอิตาลีในปี 1286 แต่ยังไม่มีใครค้นพบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้นคนแรก จนกระทั่งไปใน ปี 1300 ที่เมืองเวนิสจึงได้มีการตั้งโรงงาน “แผ่นดิสก์สำหรับตา” สมัยก่อนจะเรียกแผ่นดิสก์และยังไม่ใช้คำว่าเลนส์ และไม่นานแผ่นดิสก์สายตาก็ได้ถูกขนส่งไปทั่วยุโรป
เพราะฉะนั้นทรงแว่นตารุ่นแรกๆ นั้นจะเป็นแค่เลนส์เดี่ยวๆธรรมดาเท่านั้น แว่นรุ่นแรกๆ จะเป็นทรง V Shape ที่ไม่มีขาแว่น เวลาจะใช้นั้นต้องยกแว่นขึ้นอ่านอย่างเดียว ลักษณะการใช้แทบไม่ต่างกับแว่นขยายและใช้จนไปกระทั้งช่วงปี 1600 ที่แว่นทรง V Shape ได้มีการปรับปรุงไม่ให้หล่น
ในช่วงกลางยุค1400 ที่เมืองฟรอเลนซ์, ประเทศอิตาลีถือว่าเป็นผู้นำในการผลิตเลนส์แว่นตารวมถึงการขายและคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับแว่นตาที่มีคำกำลังสายตาต่างๆกัน อย่างเช่น สายตาสั้นและ สายตายาว หลังจากนั้นไม่นานมนุษย์เราก็เริ่มใจว่าสายตาของมนุษย์เรามีการถดถอยลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น บุคคลที่เริ่มมีสายตายาวอ่านหนังสือมักจะมีปัญหาตอนอายุ 40 ต้นๆ สรุปได้ว่า สายตากับอายุมีความสัมพันธ์กัน สายตาสั้นกับยาวเริ่มสามากรแก้ไขได้ในช่วงนี้ แต่แว่นนั้นไม่สามารถใส่อยู่บนหน้าเราได้ตลอดเพราะยังไม่มีการประดิษฐ์ขาแว่นขึ้นมา ต้องรอจนกว่า Edward Scarlett ผลิตขาแว่นขึ้นมา
1500- วัสดุหลากหลาย แต่แว่นไม่มั่นคง
วัสดุที่ใช้ในการผลิตกรอบแว่นส่วนใหญ่จะเป็นกระดูกปลาวาฬ,เขาของสัตว์ต่างๆ, กระดองเต่า, และหนังต่างๆ ตัวกรอบแว่นจะขัดให้กลมและจะใช้สปริงยึดตัวแว่นทั้งข้างซ้ายและขวาทำให้เป็นฐานจมูก
แต่ตัวแว่นสมัยก่อนตัวเลนส์จะไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่จะหลุดจากกรอบได้ กว่าจะทำให้มั่นคงได้นี่ต้องรอไปถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เลย
1600 - แว่นมีความต้องการมากขึ้น หนังสือพิมพ์ฉบับแรกถือกำเนิด
ในช่วงนี้เทคโนโลยีต่างๆเริ่มมีการพัฒนามากขึ้นจากสมัยก่อน จากกรอบไม้ก็ถูกพัฒนาจนมีกรอบเหล็กและสมัยก่อนจมูกแว่นหรือสะพานแว่นที่เชื่อมระหว่างตัวแว่นฝั่งซ้ายและขวาสามารถทำให้วางบนจมูกได้มั่นคงแล้ว สมัยศตวรรษก่อนแว่นต้องใช้มือถือ1ข้าง สมัยนี้สามารถทำให้วางบนจมูกได้ดีขึ้น
ในเมื่อเทคโนโลยีดีขึ้น, การผลิตถูกลงทำให้สามารถผลิตแบบสเกลใหญ่ได้ การขนส่งก็ดีขึ้นทำให้ทุกคนเข้าถึงแว่นได้มากกว่าเดิม
แต่ยังไม่จบที่ว่า ถึงแม้จะทำให้ตัวแว่นวางบนจมูกดีขึ้น หลายๆคนก็พยายามหาทางทำให้แว่นใส่อยู่บนหน้าให้นิ่งขึ้นกว่าเดิม บางคนใช้วิธีเอาสายคล้องแว่นผูกรอบหัว อารมณ์คล้ายๆเหมือนแว่นตากันน้ำมากกว่า
ในศตวรรษที่ 15, แว่นสายตาก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเป็นที่นิยม แว่นสายตานั้นเริ่มมีการขายบนท้องถนนทั่วไปในยุโรปตะวันตก ความต้องการของแว่นสายตาพุ่งถึงขีดสูงสุด ในช่วงปี1665 ที่ The London Press ที่หนังสือพิมพ์ฉบับแรกได้มีการตีพิมพ์ออกมา เท่านั้นยังไม่พอแว่นตายังเป็นอุปกรณ์สถานะแสดงถึงความรู้, ฐานะในทางสังคม และ ความร่ำรวย ไม่นานความคิดนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรบ, จีน, อิตาลี และ สเปน
1727 - ต้นแบบของแว่นตาปัจจุบัน ขาแว่นตาถูกคิดค้น
Edward Scarlett (1688 – 1743)
ในปี 1727 ถือเป็นความก้าวหน้าในวงการแว่นตา โดยที่ช่างแว่นตา Edward Scarlett แก้ไขปัญหาแว่นทรงเก่าๆที่ไม่มีขาแว่นโดยการใส่ขาแว่นเข้าไปเพื่อยึดไม่ให้แว่นตก
แว่นที่ Edward ปรับแต่งขึ้นมาอีกก็คือทำขาให้นิ่งมากขึ้นและส่วนปลายของขาแว่นจะทำเป็นห่วง ยังไม่ได้เป็นขาเกี่ยวเหมือนทรงแว่นในปัจจุบัน แต่ก็ถือเป็นต้นแบบของแว่นปัจจุบันได้เลย
แฟชั่นของแว่นสมัยนี้คือแว่นMonocle วัสดุถูกทำมาจากทอง, เงิน, เพชร และอื่นๆ แว่นเริ่มกลายเป็นเครื่องประดับและบางครั้งแว่นก็กลายเป็นของที่แบ่งแยกสถานะ แว่นติดเพชรแว่น หรือ ทำจากทองแว่นทำจากวัสดุยากๆจะมีราคาสูงมาก ทำให้เป็นการแบ่งชนชั้นได้ (ส่วนตัวผู้เขียนแว่นแพงก็เหมือนแว่นทำจากทองK ทำจากเพชรต่างๆ เป็นเครื่องประดับที่น่าจะสังเกตุได้ง่ายที่สุดบนร่างกาย เพราะเวลาคนเราสนทนากันก็จะมองเห็นและมองตาเป็นอย่างแรก แว่นก็มีลักษณะคล้ายๆนาฟิกา สำหรับคนคนที่เล่นนาฬิกาบางครั้งแค่มองก็รู้เลยคนนี้มีฐานะแน่เพราะราคาประมาณนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะมีได้)
1784 - เลนส์เสี้ยวพระจันทร์ถือกำเนิด
Benjamin Frankin
Benjamin Franklin เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์แว่นเสี้ยวพระจันทร์ (Bifocal lens) แว่นที่สามารถมองได้ 2 ระยะ Ben คิดว่าการแยกแว่นไปๆมาๆเป็นเรื่องน่ารำคาญมากเค้าจึงหั่นเลนส์อย่างละครึ่งและนำมาประกอบทำให้สามารถมองได้ 2 ระยะโดยไม่ต้องแยกแว่น
เลนส์ประเภทนี้เรียกว่าเลนส์ Executive โดยโซนด้านบนจะเอาไว้มองไกล โซนด้านล่างเอาไว้มองใกล้ ในเทคโนโลยีสมัยนั้นถือว่าเป็นสุดยอดแว่นตาได้เลยครับ แว่นประเภทนี้เป็นรุ่นพี่ Progressive
1825 - มนุษย์เอาชนะสายตาเอียงได้
Sir George Biddell Airy, FRS (1801-1892)
ปี 1825 ถือว่าเป็นอีกปีสำคัญในวงการแว่นตาเพราะ Sir George Biddell Airy ได้คิดค้นเลนส์แก้ไขสายตาเอียงขึ้นมา
สาเหตุของการค้นพบก็คือ ตัวเค้ามีปัญหาสายตาเอียงเค้าจึงหาวิธีแก้ไขและเค้าพบว่าปัญหาเกิดจากตัวตาของเค้าเองที่มีปัญหา การใช้เลนส์แก้ไขจึงเป็นทางเลือกที่สุด George เป็นคนแรกที่หาวิธีแก้ไขสายตาเอียงได้เป็นจริงมากที่สุด
1930 - แว่นทรง Aviator ถูกคิดค้นขึ้นมา
หลายคนอาจจะไม่ทราบ บริษัท Bausch and Lomb ผู้ผลิตคอนแทคเลนส์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกนี้ เป็นเจ้าของแว่นตา RayBan มาก่อน ก่อนที่ขาย RayBan ให้ Luxotica ทีหลัง ดังนั้น RayBan รุ่นดั้งเดิมจริงๆต้องมาจาก Bausch and Lomb เท่านั้น
นักบินต้องการแว่นที่ใส่กันแดดได้และเข้ากับหมวกนักบิน ทรงแว่นนั้นเลียนแบบหยดน้ำ นักบินต้องการแว่นที่ใหญ่พอที่จะปิดแสงเข้าให้ได้หมด สมัยก่อน แว่นทรง Aviator เป็น double bar เท่านั้น จะมีแป้นจมูกที่สามารถปรับได้
1940s - แว่นเริ่มทำจากพลาสติกมากขึ้น
ยุค 1940-50 ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เราสามารถผลิตแว่นตาจากพลาสติกได้แล้ว แว่นแฟชั่น Cateye แว่นพลาสติกเริ่มมามีบทบาทมากขึ้นในช่วงนี้ จนกระทั่งแว่น ทรง CatEye เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหญิงเลย
1940 - เลนส์พลาสติกถูกคิดค้นได้สำเร็จ
ในช่วงยุค 40s, หลายๆท่านคงได้ยินเลนส์พลาสติก CR-39 ทำไมถึงต้องเป็น 39 ? และ CRคืออะไร CR คือ Columbia Resin คือชื่อโปจเจคในตอนนั้นครับ และ 39 นั้นก็มาจากเพราะว่าต้องทำการทดลองถึง 39 ครั้งเลยกว่าเลนส์พลาสติกจะผลิตออกมาได้สำเร็จ แต่รุ่นแรกๆก็เป็นรอยง่ายครับและก็ไม่มีการเคลือบโค้ทมากมายแบบปัจจุบัน
สมัยก่อนนั้นเลนส์แว่นจะเป็นกระจกเป็นหลัก ข้อดีของเลนส์กระจกคือใส ข้อเสียคือหนักและถ้าตกส่วนใหญ่จะแตกซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายบนหน้า (เลนส์สามารถบาดได้) ต่อมาไม่นานก็มีเลนส์พลาสติกขึ้นมา เลนส์พลาสติกยุคแรกๆนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ Index สูงสุดจะอยู่ที่ 1.6 เท่านั้นและข้อเสียคือเป็นรอยง่ายรวมทั้งสมัยนั้นยังไม่มี Anti-Reflection หรือ กันแสงสะท้อนจากเลนส์ (คนไทยมักจะเรียกว่ามัลติโค้ท) ถ้าเรียกให้ถูกต้องเรียก Anti-Reflection
สมัยนี้ เทคโนโลยีก้าวไกลไปมา เลนส์จึงมีหลายประเภทจน ผู้บริโภคตามไม่ทัน (เทคโนโลยีเลนส์)
1960 - เลนส์ Auto หรือเลนส์เปลี่ยนสีถูกคิดค้นขึ้นสำเร็จ
เลนส์เปลี่ยนสี (Plastic photochromatic lenses) นั้นถูกคิดค้นมามากกว่า 50 ปีแล้ว สมัยก่อนนั้นจะถูกเรียกว่า “Photo Gray” เพราะมีเปลี่ยนสีเฉพาะสีเทาเท่านั้นและมีเฉพาะในเลนส์กระจก แต่ช่วงยุค 1990 เลนส์เปลี่ยนสีพลาสติก เริ่มมีการจำหน่าย และในยุคปัจจุบันมีหลายสีให้เลือก
2000s - แว่นคือเครื่องประดับ
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่20, บริษัทผลิตแว่นเริ่มจะผลิตแว่นตาให้มีความหลากหลายสไตล์และพลาสติกได้ถูกเริ่มนำมาใช้ในการผลิตแว่นตาซึ่งทำให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น, แว่นตาเริ่มเป็นเครื่องหมายของความมีสไตล์เฉพาะบุคคลในวงการแฟชั่นและการเป็นอุปกรณ์ประดับ ความคิดนี้ไม่นานก็แพร่หลายไปทั่วโลก และไม่นานความคิดที่ว่าแว่นตากลายเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งตัว ดังนั้นในสมัยนี้แว่นตาไม่ใช่เป็นเพียงอุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหาสำหรับผู้มีสายตา แต่ยังแสดงถึงลักษณนิสัยของบุคคลนั้นด้วย
2010s - แฟนชั่นเป็น cycle
ในยุคปัจจุบัน แฟชั่นแว่นตาเปลี่ยนและวนไปเรื่อย บางครั้งเราจะเห็นหลายๆท่านใส่ทรงกลมๆ นี่คือแฟชั่นจากยุค 1940 บางครั้งใส่ใหญ่ๆจากยุค 1970-80 เหลี่ยมเล็กๆ จากต้นปี 2000 แต่แว่นใหญ่นั้นไม่ค่อยจะฮิตเท่าไหนสำหรับบุคคลที่มีสายตาเยอะ สาเหตุมีอยู่ 2 ข้อ
1. เพราะตัวกรอบยิ่งใหญ่จะทำให้เลนส์ใหญ่ไปด้วย ส่งผลต่อน้ำหนัก
2. เมื่อตัวกรอบใหญ่แล้ว โอกาสที่จะทำให้จุดเซ็นเตอร์ของเลนส์จะตรงอยู่ที่ตาดำนั้นจะยากถ้าใช้เลนส์ Stock ลูกค้าจะต้องยอมรับกับราคาเลนส์ที่แพงขึ้นเพราะเลนส์ขนาดใหญ่กว่า 75mm สำหรับกรอบใหญ่นั้นต้องสั่งจากโรงงานเท่านั้น
References
http://www.luxottica.com/en/about-us/museo-dellottica/eyeglasses-timeline
http://mathshistory.st-andrews.ac.uk/Biographies/Airy.html
http://www.glasseshistory.com/
https://allabouteyes.com/see-past-fascinating-history-eyeglasses/
https://www.britannica.com/science/eyeglasse
https://smallbusiness.com/manage/ben-franklin-21st-century-business-strategy/